Home2020April7สรุปสาระเด็ดๆ จากงาน Meet Marketer Mar 2020 Event สรุปสาระเด็ดๆ จากงาน Meet Marketer Mar 2020 จบกันไปแล้วกับงาน Meet Marketer ครั้งที่1 งานที่จะพานักการตลาดมากประสบการณ์ตัวเป็นๆมาแบ่งปันความรู้ อัพเดตเทรนด์การตลาดกันแบบไม่มีกั๊ก ที่จัดขึ้นโดย Sharing Citizen เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2020 ที่ผ่านมา คราวนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรสุดเจ๋งถึง 3 ท่าน เรียกได้ว่าได้ความรู้แบบเต็มอิ่มไปตามๆกัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับงาน Meet Marketing ได้ที่นี่ เสริมพลังให้ Marketing ด้วย DATA ในพาร์ทแรกนี้ว่ากันด้วยเรื่องของการนำ Data เข้ามาใช้สร้างผลกำไรให้กับบริษัท/กิจการ โดย คุณอู๋ (Vitoo Ngamdumrong)General Marketing Freelance ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ D4Biz เว็บไซต์ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการ นักการตลาด สามารถทำผลกำไรได้มากขึ้นด้วย Data ว่าด้วยเรื่องของ Data ในการทำธุรกิจ จะดีมากเลยถ้าเราสามารถรู้ได้ว่าในแต่ละ action ที่เกิดขึ้นในบริษัทของเรา ส่งผลต่อด้านการเงินของบริษัทอย่างไรบ้าง เช่น ทำแบบนี้แล้วเกิดยอดขายเพิ่มขึ้น ซึ่งวิธีที่จะทำให้เราทราบได้ก็คือการเก็บ Data นั่นเอง ถ้าธุรกิจของเรามี Data ที่ดีพอ ก็จะสามารถเอามาปรับใช้ในการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดในครั้งต่อๆไปได้ง่ายขึ้น ถ้าเรามีไอเดีย แต่ไม่มีการเก็บ Data ก็ยากที่จะวางแผนว่าจะทำอะไรต่อไปในอนาคต ว่าด้วยเรื่องของ Marketing แน่นอนว่าผู้ประกอบการทุกคนที่เข้ามาทำธุรกิจนั้นต้องการผลกำไร แต่การสร้างผลกำไรในเชิงของ Marketing นั้นจะเน้นไปที่การสร้าง revenue เป็นหลัก โดยสามารถทำได้สองวิธีคือ การเพิ่มราคา และการเพิ่มปริมาณ(volume) แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากเลือกที่จะเพิ่มราคาสินค้า เมื่อเพิ่มราคาไปถึงจุดหนึ่งลูกค้าอาจจะเริ่มรู้สึกว่าไม่คุ้มค่า หรือถ้าหากเลือกที่จะเน้นที่ปริมาณหรือการขายในจำนวนมากๆ เมื่อไปถึงจุดหนึ่งก็อาจจะรู้สึกว่าจำนวนผู้ซื้อนั้นมีไม่มากพออย่างที่คิดเอาไว้ตอนแรก ดังนั้นบางครั้ง แบรนด์หรือธุรกิจอาจจะต้องสร้างสินค้าหรือบริการใหม่ๆขึ้นมาเพื่อให้บริการลูกค้าหลายๆกลุ่มที่มีความต้องการที่ต่างกัน จับ Data + Marketing มาใช้ด้วยกันซะเลย สำหรับการเก็บ Data อาจจะไม่ต้องถึงขั้นใช้เทศโนโลยีล้ำสมัยอย่าง AI เบื้องต้นอาจจะดูแค่ สินค้าประเภทไหน ราคาเท่าไหร่ที่ขายดีที่สุด สินค้าไหนขายไม่ได้ ลูกค้าประเภทนี้ชอบสินค้าประเภทไหน ซื้อสินค้าชิ้นนี้เพราะอะไร เมื่อดำเนินธุรกิจไประยะหนึ่งเราจะมีปริมาณ Data ที่มากพอที่จะเอามาใช้วางแผนการตลาด คำนวณต้นทุน กำไร รวมถึงวางแผนการลงทุนในอนาคตได้ เปลี่ยน Content เป็นยอดติดตามหลักแสน ในพาร์ทที่สองนี้จะเน้นในเรื่องของการสร้าง content ให้ดึงดูดผู้อ่านบนโลกโซเชียล แบ่งปันโดย คุณนิว (Rachata Mahaphasukwat) เจ้าของแฟนเพจ Creative C ที่สามารถสร้างยอดผู้ติดตามหลักแสนภายในไม่กี่เดือน ด้วยบทความออแกนิคล้วนๆ ให้ภาพมันเล่าเรื่อง การทำคอนเทนท์แบบ infographic ยังใช้ได้ดีเสมอ ลองสร้าง Artwork ที่สามารถเล่าเรื่องทุกอย่างที่อยากเล่าให้จบได้ภายในหน้าเดียว ซึ่งผู้อ่านสามารถอ่านเนื้อหาทุกอย่างได้จนจบโดยที่ไม่ต้องแตะหน้าจอเลยแม้แต่คลิกเดียว เพิ่มโอกาสที่จะอ่านจนจบได้มากขึ้น แบรนด์อยากเล่า VS เขาอยากฟัง ไม่ว่าใครก็อยากจะเลือกอ่านเฉพาะเรื่องที่ตนเองสนใจกันทั้งนั้น หากเราเขียนเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับแบรนด์ของตัวเอง(เราอยากเล่า) โดยที่ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผู้อ่านสนใจ แน่นอนว่าก็จะไม่ได้ยอดอ่านตามที่ต้องการ ในขณะเดียวกัน หากเลือกเขียนเรื่องที่ผู้อ่านอยากอ่าน(เขาอยากฟัง) แต่ไม่ได้เกี่ยวกับแบรนด์ของเราเลยแม้แต่น้อย ก็จะเสีย brand awareness ไปอย่างน่าเสียดาย ดังนั้นคอนเทนท์ที่ดีควรเป็นหัวข้อที่ผู้อ่านสนใจ ในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ของเราด้วย รู้ว่าเราเป็นใคร ปิดขายได้ง่ายขึ้น ในการสร้างคอนเทนท์ขึ้นมาซักหนึ่งชิ้น ถ้าเราสามารถดึงตัวตนของแบรนด์ใส่ลงไปในคอนเทนท์ได้เพื่อให้ลูกค้ารับรู้ว่าเราเป็นใคร มีสินค้าหรือบริการอะไรบ้าง จะทำให้เกิดเป็น brand awareness นำไปสู่การซื้อสินค้าและบริการได้ง่ายขึ้น ยิ่งผู้อ่านรู้สึกผูกพันกับแบรนด์ ก็จะยิ่งเกิดความสัมพันธ์ที่ดีในระยะยาวระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค เก่า + เก่า = ใหม่ ภายในหนึ่งวัน บนเฟสบุ้คมีการโพสเป็นล้านครั้ง ถ้าเรายังสร้างเนื้อหาเดิมๆก็อาจจะไปซ้ำกับโพสเดิมๆที่ใครก็สร้างกันอยู่แล้ว ซึ่งผู้อ่านอาจจะเบื่อและเลื่อนปัดโพสของเราทิ้งไป จึงต้องลองสร้างคอนเทนท์เนื้อหาใหม่ๆบ้างเพื่อให้เกิดความโดดเด่นและน่าสนใจ แต่ถ้าหากคิดไม่ออกจริงๆ ลองเอาเรื่องเก่าๆซักสองเรื่องมาผสมเข้าด้วยกัน ปรับแต่งนิดหน่อย ก็จะได้เป็นเรื่องใหม่ๆออกมาซึ่งเกิดความน่าสนใจมากขึ้น มองภาพรวมเป็น = เห็นอนาคต ในพาร์ทที่สามซึ่งเป็นพาร์ทสุดท้าย จะคุยกันในเรื่องของภาพรวมในการทำการตลาด โดยคุณปิ๊ง(Dolawat Vibhatsilpin) ที่ปรึกษาการตลาดมือฉมัง ผู้อยู่เบื้องหลังคาแรคเตอร์ก็อตซิลลาตัวน้อยๆจากผู้ให้บริการพลังงานชื่อดังของประเทศไทย ไม่มีสูตรสำเร็จทางการตลาด ไม่มีคำว่า facebook ดีที่สุด หรือแม้แต่คำว่าธุรกิจต้องทำธุรกิจออนไลน์ ทุกธุรกิจไม่ได้มีแนวทางที่เหมือนกัน สูตรสำเร็จของอีกธุรกิจหนึ่ง หากเอามาใช้กับอีกธุรกิจหนึ่งก็อาจจะไม่ได้ผลก็ได้ ดังนั้น “ไม่มีสูตรสำเร็จทางการตลาด ทุกธุรกิจต้องสร้างสูตรสำเร็จของตัวเอง” ยุคแห่งการสร้าง Value ในแต่ละยุคก็จะมีแนวทางในการทำการตลาดที่แตกต่างกันไป โดยในยุคปัจจุบันนี้เป็นยุคแห่งความรู้สึก ด้วยการแข่งขันที่สูงขึ้นทำให้เพียงแค่คุณภาพและความแตกต่างของสินค้าไม่เพียงพออีกต่อไป การตลาดในยุคนี้จะมีเรื่องของอารมณ์ มีคุณค่าบางอย่างที่เหนือกว่าคนอื่น ที่จะให้ผู้บริโภคมีความรู้สึกว่าเมื่อใช้สินค้าชิ้นนี้แล้วเกิดคุณค่าบางอย่างเกิดขึ้น เช่น ใช้สินค้าชิ้นนี้แล้วดูเป็นคนรักโลก หรือใช้บริการแบรนด์นี้แล้วรู้สึกว่ามีคุณค่าในตัวเอง รู้ใจลูกค้า ด้วยการทำ research ก่อนหน้านี้ในพาร์ทของคุณอู๋ได้บอกว่า เมื่อทำธุรกิจมาระยะหนึ่งเราจะมีข้อมูลจำนวนมากพอที่จะนำมาวางแผนทางการตลาด แต่ถ้าเราเป็นธุรกิจที่เพิ่งเริ่มโดยที่ยังไม่ได้มีการเก็บข้อมูลลูกค้าล่ะ กรณีนี้เราสามารถใช้วิธีการสำรวจตลาดเพื่อเก็บข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าได้ โดยถ้าหากเป็นธุรกิจ sme เล็กๆ ก็อาจจะใช้วิธีเดินเข้าไปคุยกับกลุ่มเป้าหมายโดยตรง โดยใช้คำถามปลายเปิด ก็จะได้ข้อมูลที่ละเอียดและหลากหลายเพียงพอต่อการนำมาใช้งาน หา Winning Zone ลองมองหาจุด Winning Zone ให้กับธุรกิจของตัวเอง(โซนสีเขียวตามภาพ) ซึ่งก็คือจุดขายที่จะทำให้เราอยู่เหนือกว่าคู่แข่ง โดยจุดแข็งที่ว่าควรเป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ดีเมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าอื่นๆในธุรกิจเดียวกันและในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ พยายามหลีกเลี่ยงจุดขายที่คู่แข่งสามารถทำได้ดีกว่าเรามากๆเพราะมีโอกาสแพ้สูง Share this:Click to share on Twitter (Opens in new window)Click to share on Facebook (Opens in new window)Like this:Like Loading... Related Butsarakham Share This Previous Article1 Drink I can TALK (Online) Next Article1 Drink I can TALK (English Version) April 7, 2020